วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

กระถินณรงค์

กระถินณรงค์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
กระถินณรงค์
การจำแนกชั้นทางวิทยาศาสตร์
อาณาจักร:Plantae
หมวด:Magnoliophyta
ชั้น:Magnoliopsida
อันดับ:Fabales
วงศ์:Fabaceae
สกุล:Acacia
สปีชีส์:A. auriculiformis
ชื่อทวินาม
Acacia auriculiformis
A.Cunn. ex Benth.
กระถินณรงค์ (ชื่อวิทยาศาสตร์Acacia auriculiformis Cunn., อังกฤษAuri, Earleaf acacia, Earpod wattle, Northern black wattle, Papuan wattle, Tan wattle) เป็นพืชตระกูลถั่ว มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมตามธรรมชาติในทุ่งหญ้าของประเทศปาปัวนิวกินี ไปจนถึงพื้นที่ทางตอนเหนือของประเทศออสเตรเลีย แต่ปัจจุบันได้มีการนำไปปลูกกันทั่วโลกทั้งทวีปเอเชีย แอฟริกา และอเมริกาใต้ เนื่องจากสามารถฟื้นฟูสภาพป่าเสื่อมโทรมได้
เป็นไม้ที่มีขนาดเล็กถึงขนาดกลางมีความสูง 8 เมตร ไปจนถึง 20 เมตร ดอกกระถินณรงค์ มีสีเหลืองกลิ่นหอม ออกดอกรวมกันเป็นช่อ คล้ายหางกระรอก
ในประเทศไทย ร.ท.ขุนณรงค์ชวนกิจ (ชวน ณรงคะชวนะ) เป็นผู้สั่งเข้ามาปลูกในประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2478 โดยนำมาปลูกในลักษณะของไม้ประดับ [1]

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์[แก้]

กระถินณรงค์เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ขนาดกลาง - ใหญ่ สูง 10 - 30 เมตร[2] เรือนยอดทรงกลมทึบ เปลือกสีน้ำตาลถึงสีน้ำตาลเข้ม แตกเป็นร่องตามยาว ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น เมื่อยังเล็กและเปลี่ยนรูปเป็นใบขนาดใหญ่หนา สีเขียวเข้ม เรียวยาว โค้งเป็นรูปเคียว กว้างประมาณ 1.2 - 2.5 ซม. ยาวประมาณ 7 - 15 ซม.[3] ดอกสีเหลือง มีกลิ่นหอม ออกรวมกันเป็นช่อคล้ายหางกระรอกตามง่ามใบ ดอกย่อยแต่ละดอกมีขนาดเล็กมาก ช่อหนึ่งๆ มี ประมาณ 70 - 100 ดอก[3] ช่อดอกจะห้อยลงข้างล่าง ผลแห้งแตก เป็นฝักแบน สีเขียว ม้วนบิดเป็นวง 1 - 3 วง เมื่อแก่มีสีน้ำตาล มีเมล็ดสีน้ำตาลดำเป็นมัน 5 - 12 เมล็ด

ประโยชน์[แก้]

กระถินณรงค์เป็นไม้โตเร็ว นิยมปลูกเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง นอกจากการใช้เป็นพืชเบิกนำในการปลูกป่าในพื้นดินเสื่อมโทรมได้ดีแล้ว ยังใช้ตัดฟันเป็นไม้ฟืนเชื้อเพลิง ซึ่งมีการวิจัยโรงไฟฟ้าชีวมวล เพื่อใช้ไม้กระถินเป็นเชื้อเพลิง[4] และประโยชน์อื่นๆ เช่นเผาถ่าน ทำเฟอร์นิเจอร์ และเป็นวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษได้ด้วย

การศึกษาวิจัย[แก้]

สถานีวนวัฒนวิจัยสะแกราช ศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ไม้กระถินณรงค์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 โดยใช้วิธีการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่าง กระถินณรงค์ 3 สายพันธุ์ ได้แก่
  • สายพันธุ์ Nort-hern territory ซึ่งมีลักษณะเด่นสามารถทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี
  • สายพันธุ์ Queensland มีลักษณะลำต้นเปลาและตรง
  • สายพันธุ์ Papua New Guinea มีผลผลิตมวลชีวภาพสูงที่สุด
เพื่อมุ่งหวังให้เป็นไม้โตเร็วทาง เลือกใหม่แก่เกษตรกรทดแทนการปลูกยูคาลิปตัส[5]

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น